สมาคมเกษตรส่งเสริมวิถีชีวิตสีเขียวปลอดคาร์บอนในชนบท ภายใต้แนวคิด การประหยัดอาหาร (Food Cherishing) อย่างไร
Denny Lee(China Productivity Center Agricultural Innovation Department I )
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม พายุไต้ฝุ่น และสภาพอากาศสุดขั้วอื่น ๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการผลิตอาหารทั้งในระดับโลกและในไต้หวัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการจัดหาอาหารให้ยากมากขึ้น คุกคามต่อความต้องการอาหารขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
การลดคาร์บอนในความคิดคนทั่วไป คือ การมุ่งเน้นไปที่การลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหรือลดการใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นมาตรการที่มีการส่งเสริมมานานหลายปี แต่กลับมองข้ามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจาก "อาหาร" ที่พบเจอในชีวิตประจำวัน จากการวิจัยพบว่า อุตสาหกรรมอาหารในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การแปรรูป การเก็บรักษา การจัดจำหน่าย การทำอาหาร ไปจนถึงการจัดการกับเศษอาหาร ล้วนมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 30% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมอาหารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร ควรให้ความสำคัญและลงทุน
นอกจากการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุตสาหกรรม และการเร่งนำเทคโนโลยีการผลิตที่ปลอดคาร์บอนมาใช้แล้ว รายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency, IEA) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน หากสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 8% ของเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ทั่วโลก
ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาแห่งชาติของไต้หวัน ได้กำหนดให้ วิถีชีวิตสีเขียว ปลอดคาร์บอน (Net-Zero Green Living) เป็นหนึ่งใน 12 กลยุทธ์สำคัญ เพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 โดยจะดำเนินนโยบายทั้งหมด 63 รายการ ช่วยประชาชนสร้างวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสมาคมเกษตรในฐานะองค์กรสำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาชนบท นอกจากจะดูแลการผลิตทางการเกษตร ควรพิจารณาวิธีที่ตอบสนองนโยบายการพัฒนาแห่งชาติ ในการส่งเสริมวิถีชีวิตสีเขียวด้วย
เมื่อพิจารณาถึงงานของสมาคมการเกษตร สมาคมการเกษตรแต่ละแห่งมีศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตร ซูเปอร์มาร์เก็ต และสถานีจำหน่ายสินค้าของเกษตรกร ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนในชนบทอย่างใกล้ชิด ดังนั้น ในปี 2022 กรมการเกษตร กระทรวงเกษตร (The Agriculture and Food Agency – the Ministry of Agriculture) จึงเริ่มสนับสนุนสมาคมเกษตรจำหน่ายสินค้าอาหารในจุดจำหน่ายเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมการบริโภคที่ไม่ฟุ่มเฟือย การจำหน่ายสินค้าอาหารเหลือ จึงสามารถกลายเป็นโอกาสในการเสริมสร้างการลดคาร์บอนและความยั่งยืนในชนบทได้อย่างไร บทความนี้จะกล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป
การขายอาหารและป้องกันการฟุ่มเฟือย สู่การส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ปลอดคาร์บอนและประหยัดอาหาร (Zero-waste and low-carbon diets)
ตั้งแต่ปี 2022 กรมการเกษตรตอบสนองต่อนโยบายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์และการขจัดความหิวโหย (Net-Zero emissions and zero hunger) โดยเริ่มสนับสนุนสมาคมเกษตร (farmers associations) ในการจัดตั้ง "โซนประหยัดอาหาร" ในจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรของตน เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้และการเรียนรู้ในการประหยัดอาหารและลดการสูญเสีย หลังการดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี ขณะนี้ได้จัดตั้งและดำเนินการโซนประหยัดอาหารในจุดจำหน่ายรวม 168 แห่งทั่วประเทศไต้หวัน
จากการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของโซนประหยัดอาหารของสมาคมเกษตร พบว่าส่วนใหญ่เป็นการส่งเสริมการขายสินค้าใกล้หมดอายุด้วยการลดราคา เพื่อลดการทิ้งหรือทำลายอาหาร นอกจากนี้ยังมีการขายผักผลไม้ที่มีรูปร่างไม่สวยงามในบางแห่ง ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถซื้อวัตถุดิบสดใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง และสนับสนุนการบริโภคอาหารที่ผลิตในท้องถิ่น ดังนั้นแนวทางของโซนประหยัดอาหารของสมาคมเกษตรสามารถสรุปได้ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อลดอัตราการทิ้งผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ถูกขาย
อย่างไรก็ตาม หากขายสินค้าที่ใกล้หมดอายุหรือผักผลไม้ที่มีรูปร่างไม่สวยงามเพียงอย่างเดียว ผลของการส่งเสริมให้ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตค่อนข้างจำกัด สมาคมเกษตรซึ่งมีศักยภาพในการส่งเสริมในครัวเรือน สามารถขายสินค้าและส่งเสริมวิถีชีวิตสีเขียว ปลอดคาร์บอน และการบริโภคอาหารอย่างประหยัดในเวลาเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคปัจจุบันที่มักจะรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ขาดความรู้ในการจัดการวัตถุดิบและการทำอาหาร ทำให้ความต้องการซื้อวัตถุดิบอาหารสดใหม่ลดลง และเพิ่มโอกาสในการสิ้นเปลืองอาหารโดยไม่จำเป็น
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สมาคมเกษตรสามารถใช้โครงการส่งเสริมการศึกษาด้านอาหารและการเกษตร ควบคู่กับการร่วมมือกับเชฟที่มีความรู้เรื่องการประหยัดอาหาร ออกแบบสูตรอาหารที่เน้นการใช้วัตถุดิบทุกส่วน และสาธิตการทำอาหารให้ผู้บริโภคดูสด ๆ ที่โซนประหยัดอาหาร ช่วยให้ผู้บริโภคเรียนรู้วิธีการ "บริโภค" อย่างถูกต้อง รวมถึงการซื้อและการปรุงอาหารอย่างเหมาะสม การส่งเสริมดังกล่าวจะช่วยให้ครอบครัวในชนบทสามารถจัดการวัตถุดิบและทำอาหารอร่อย ๆ ได้อย่างถูกต้อง
ด้วยวิธีนี้ จะสามารถเพิ่มความต้องการในการซื้อวัตถุดิบอาหารสดใหม่ของผู้บริโภค ส่งเสริมการขายผลิตผลทางการเกษตร และลดการสิ้นเปลืองได้ ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็จะเริ่มมีแนวคิดในการใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่าและการประหยัดอาหาร ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ซ้ำๆ ช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้ออาหารในปริมาณมากไปสู่การซื้ออย่างมีแผนหรือซื้อเท่าที่ต้องการ นำไปสู่การใช้วัตถุดิบอย่างประหยัดและการสร้างพฤติกรรมประหยัดอาหาร
การประหยัดอาหาร การนำกลับมาใช้ใหม่ กับการบริการในท้องถิ่น
นอกจากการส่งเสริมในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ความสมดุลระหว่างการผลิตและการขายสินค้าเกษตรในท้องถิ่นเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญของสมาคมเกษตร ผลิตผลบางส่วนที่ถูกคัดออก เนื่องจากการจัดระดับหรือการแปรรูปกลายเป็นสินค้าพิเศษหรือสินค้าระดับรอง การนำสินค้ากลับมาใช้ใหม่เป็นวิธีที่สำคัญในการส่งเสริมการประหยัดอาหาร ลดการสูญเสียอาหาร และสนับสนุนวิถีชีวิตสีเขียวในพื้นที่ชนบท สามารถนำแนวทางกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมที่ดำเนินการในเขตเมืองมาประยุกต์ใช้ได้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจึงได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น กิจกรรมการดูแลสีเขียว กิจกรรมการให้อาหารในชุมชน และศูนย์ดูแลเอาใจใส่ สนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุในท้องถิ่น และในแผนงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การให้อาหารหรือการรับประทานอาหารร่วมกันเป็นบริการที่สำคัญ และการบริการเหล่านี้ต้องการวัตถุดิบที่หลากหลาย หากสามารถใช้สินค้าที่ผลิตโดยสมาคมเกษตรจะเพิ่มให้การใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยทั่วไปแล้ว สินค้าที่ลักษณะภายนอกไม่ตรงตามเกณฑ์การจัดระดับของตลาด แต่คุณค่าทางโภชนาการของผลิตผลนั้นไม่ได้แตกต่างกัน หากได้รับการปรุงอาหารที่เหมาะสม สามารถให้คุณค่าทางโภชนาการและความอร่อยได้เช่นกัน
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองและส่งเสริมการประหยัดอาหาร สมาคมเกษตรสามารถส่งสินค้าเกษตรเหล่านี้ไปยังครัวเรือนหรือศูนย์การดูแลสีเขียวในพื้นที่ของตนเอง หรือร่วมมือกับสมาคมพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นที่มีความต้องการวัตถุดิบอาหารเป็นจำนวนมากใช้ปรุงอาหารแล้วแจกจ่ายให้กับคนในชุมชน
ด้วยวิธีนี้ จะไม่เพียงแค่ทำให้ผู้สูงอายุได้เพลิดเพลินกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังส่งเสริมการช่วยเหลือและสนับสนุนกันในชุมชน เพิ่มศักยภาพในการให้บริการผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ การบริหารจัดการอาหารที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเพิ่มคุณค่าในการศึกษาและวัฒนธรรมได้ ตัวอย่างเช่น ในอดีตทรัพยากรมีอายุจำกัด เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองทรัพยากร ผู้คนในแต่ละพื้นที่ได้พัฒนาวิธีการเก็บรักษาอาหารตามสภาพภูมิประเทศและพืชผลในแต่ละท้องถิ่น
อาทิเช่น ในเขตเมืองหยุนหลิน เจียอี้ และไถหนาน เกษตรกรที่ปลูกแตงโมมักจะตัดแตงโมลูกเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "เหมียนไจ่" หรือ "แตงโมเหมียน" ออก แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ด้วยการดอง เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในอาหาร ซึ่งกลายเป็นความเคยชินและวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่สำคัญในพื้นที่นั้น ในแต่ละชุมชน มีวิธีการเก็บรักษาอาหารที่แตกต่างกัน หากมีการบันทึกถ่ายทอด ก็จะสามารถสืบสานวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น
ดังนั้น นอกจากกิจกรรมการให้อาหารและกิจกรรมการรับประทานอาหารร่วมกันที่สมาคมเกษตรและชุมชนในท้องถิ่นสามารถลดการสิ้นเปลืองสินค้าได้แล้ว ยังสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันภายในงานเลี้ยงอาหาร ให้ผู้สูงอายุในชุมชนแบ่งปันและสอนวิถีชีวิตในการจัดการกับสินค้าและผลิตภัณฑ์การเกษตรในอดีต ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์และภูมิปัญญาด้านการประหยัดอาหารให้กับคนรุ่นใหม่
มาตรการในการส่งเสริมการประหยัดอาหาร
ข้อสรุป กิจกรรมการประหยัดอาหารของสมาคมเกษตรที่เป็นรูปธรรมหรือการร่วมมือกับชุมชนในท้องถิ่น ทำให้แนวคิดการประหยัดอาหารเป็นนามธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเรียนรู้และปฏิบัติง่ายขึ้น ขยายการประหยัดอาหารจากสินค้าที่ใกล้หมดอายุไปยังวัตถุดิบทั่วไป สร้างบรรยากาศการประหยัดอาหารในชุมชน สร้างนิสัยการใช้ชีวิตที่ไม่สิ้นเปลืองอาหาร เป็นการลดการสิ้นเปลืองอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในอนาคต โซนประหยัดอาหาร นอกจากจะเชื่อมโยงกับชุมชนชนบทตามวิธีการข้างต้นแล้ว ยังสามารถขยายผลอย่างไรได้อีกบ้าง?
ขั้นตอนแรกอาจเริ่มจากการลดพลาสติก ปัจจุบัน การขายสินค้าในโซนประหยัดอาหารยังคงต้องใช้บรรจุภัณฑ์ตามข้อกำหนดของกฎหมายอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีการตรวจสอบกระบวนการผลิตเพื่อป้องกันการปนเปื้อน ต้องใช้ถุงบรรจุภัณฑ์เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์
แต่หากสามารถขายผักผลไม้โดยไม่ใช้บรรจุภัณฑ์หรือให้บริการถุงบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ก็จะช่วยส่งเสริมการลดการใช้พลาสติก นอกจากนี้ หากสมาคมเกษตรสามารถร่วมมือกับช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นๆ ส่งเสริมประชาสัมพันธ์การประหยัดอาหารก็สามารถขยายประสิทธิผลได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ผลกระทบของการประหยัดอาหารก็ควรถูกวัดผลอย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ภาคส่วนต่าง ๆ ควรวิจัยและสำรวจอย่างต่อเนื่อง
หากสามารถกำหนดวิธีการคำนวณที่ชัดเจนได้ ก็จะสามารถขยายผลการออกแบบมาตรการจูงใจ สนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดในการประหยัดอาหาร และดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดวัฒนธรรมการประหยัดอาหาร
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมที่เกี่ยวข้องนี้เกี่ยวข้องกับภาคการผลิต รัฐบาล การศึกษา และผู้บริโภค การรวบรวมความเห็นและความเห็นพ้องต้องกัน ยังต้องอาศัยการเจรจาจากหลายฝ่าย เพื่อกำหนดแนวทาง กฎหมาย นโยบาย ในมุมมองต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในทุกภาคส่วนของสังคม และนำสังคมก้าวไปสู่สังคมการผลิตอย่างรับผิดชอบ และการบริโภคอย่างยั่งยืน