ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อความยั่งยืนและการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
:::

ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อความยั่งยืนและการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

Denny Lee(China Productivity Center Agricultural Innovation Department I)

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากภาวะโลกร้อนทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นในการประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ จึงได้ตกลงกันในเป้าหมายร่วมกันในการบรรลุ "การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593" (Net Zero Emissions by 2050) โดยแต่ละประเทศได้ออกนโยบายลดการปล่อยมลพิษและมาตรการต่างๆ ที่เหมาะสมตามสภาพทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศ

อย่างไรก็ตาม นโยบายการลดการปล่อยมลพิษของแต่ละประเทศมุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงพลังงาน การส่งเสริมกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน และการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในแผน "2593 Net Zero: Global Energy Sector Roadmap" ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency : IEA) ได้ระบุว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษได้มากถึงร้อยละ 8 ของเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของโลก และที่มาของการปล่อยมลพิษจากก๊าซเรือนกระจกคือการที่ประชาชนต้องการบริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ดังนั้น หากพฤติกรรมของประชาชนไม่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ การดำเนินการลดการปล่อยมลพิษของประเทศต่างๆ จะไม่ประสบผลสำเร็จเต็มที่

ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา นอกจากจะมุ่งเน้นการลดการปล่อยมลพิษจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานและจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังได้เน้นการส่งเสริม ชีวิตสีเขียว (green living) เป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินงาน โดยการส่งเสริมการบริโภคสีเขียว (green consumption) การรับประทานอาหารที่มีคาร์บอนต่ำและไม่มีขยะ (zero-waste low-carbon diets), การพัฒนาเครือข่ายการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (low-carbon transportation networks) และนโยบายอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมาย "ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero emissions)" โดยไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยมลพิษในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการมีส่วนร่วมที่ยั่งยืนในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น นอกจากการส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนเลือกซื้อแล้ว ยังต้องมีวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการชักชวนและชี้นำประชาชนให้หันมามีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษและการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืน บทความนี้จะนำเสนอกรณีศึกษาต่างๆ เพื่อแนะนำวิธีการที่ถูกนำมาใช้ในประเทศต่างๆ เพื่อชักชวนผู้มีส่วนได้เสียในการพิจารณาว่าจะช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนในประเทศของเราได้อย่างไร และร่วมกันบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษและการสร้างชีวิตที่ยั่งยืนในอนาคต

แอป CitiCAP ในประเทศฟินแลนด์ช่วยประชาชนแลกเปลี่ยนเครดิตคาร์บอนส่วนบุคคล

การทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษและให้พวกเขาสามารถติดตามและบันทึกการปล่อยคาร์บอนหรือ carbon footprint ของตนเอง เป็นขั้นตอนแรกในการส่งเสริมการใช้ชีวิตสีเขียว ในเมือง Lahti ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับเก้าของฟินแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีปัญหามลพิษจากอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง แต่ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา รัฐบาลท้องถิ่นได้เริ่มดำเนินการเปลี่ยนแปลงนโยบายทั้งในด้านอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม จนทำให้เมืองนี้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้สูงถึงร้อยละ 70 และในปี 2564 เมืองนี้ได้รับรางวัลเมืองหลวงสีเขียวจากสหภาพยุโรป (the European Green Capital Award) กลายเป็นต้นแบบของความยั่งยืนทั่วโลก

เมื่อพิจารณานโยบายของรัฐบาลท้องถิ่น จะเห็นว่าไม่ได้ลงทุนเฉพาะในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า "CitiCAP" ซึ่งเป็นแอปที่ออกแบบมาให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมในการลดการปล่อยมลพิษได้ โดยอิงตามแนวคิดของเครดิตคาร์บอนและการซื้อขายคาร์บอน เพื่อให้ประชาชนสามารถแลกเปลี่ยนการกระทำที่ลดการปล่อยมลพิษให้กลายเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจริงๆ

แอปนี้จะช่วยให้ประชาชนทำการสำรวจและคำนวณ "ปริมาณการปล่อยคาร์บอน" ของตนเอง จากนั้นหากประชาชนทำพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการขับรถและเลือกที่จะปั่นจักรยานหรือใช้รถบัสในการเดินทาง ก็จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และได้รับเครดิตเป็น "ยูโรเสมือน" ซึ่งสามารถนำไปแลกเป็นตั๋วเข้าชมสถานที่สาธารณะ ตั๋วภาพยนตร์ ค่าบริการสระว่ายน้ำ หรือแม้แต่กาแฟฟรี เป็นต้น ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการของประชาชนในการใช้แอปนี้ จากการสำรวจของรัฐบาลเมือง Lahti พบว่าแอปนี้ประสบความสำเร็จในการดึงดูดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษ และได้ลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่งในเมืองได้มากถึงร้อยละ 32

ในอนาคต ผู้พัฒนาแอป "CitiCAP" มีแผนที่จะเพิ่มฟังก์ชันคำนวณการปล่อยคาร์บอนจากการบริโภคอาหาร เพื่อให้การคำนวณการปล่อยมลพิษครอบคลุมทุกๆ ด้านของชีวิต และจะเปิดตัวทางเลือกในการแลกเปลี่ยนใหม่ๆ เพื่อให้แอปนี้กลายเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายเครดิตคาร์บอนส่วนบุคคลที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

บริษัท GreenHope จัดทำสมุดบันทึกคาร์บอน (Personal Carbon Passbooks) ในไต้หวัน

GreenHope เป็นบริษัทสตาร์ทอัพในไต้หวัน ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่เชี่ยวชาญด้านการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลเชิงพื้นที่และเทคโนโลยีบล็อกเชน หลังจากที่มีการลงนามในข้อตกลงปารีสในปี 2558 ประเทศต่างๆ และบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายและวิธีการลดการปล่อยคาร์บอน แต่พวกเขากลับพบว่าไม่มีช่องทางที่ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง

นอกจากนี้พวกเขายังพบว่า หลายๆ บริษัทที่ดำเนินการตามแผน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล) มักจะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมที่เป็นการชดเชย เช่น การทำความสะอาดชายหาด การปลูกต้นไม้ หรือการซื้อสินค้าจากเกษตรกรที่มีขนาดเล็ก ซึ่งการกระทำเหล่านี้มักจะละเลยที่มาของการปล่อยคาร์บอนที่แท้จริง ซึ่งเกิดขึ้นจากการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

ดังนั้น GreenHope จึงเชื่อว่าบริษัทควรวางกลไกในการพัฒนาความยั่งยืนตั้งแต่ต้นทาง โดยการเสนอสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากต้นทาง อย่างไรก็ตาม ประชาชนมีกำลังซื้อที่จำกัด ดังนั้นการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนจึงเป็นประเด็นสำคัญ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ GreenHope ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการพัฒนา "สมุดบันทึกคาร์บอน" สำหรับแต่ละบุคคล และแพลตฟอร์มการสะสมคาร์บอนสำหรับทุกคน ซึ่งทำให้พฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของประชาชนสามารถถูกแปลงเป็นข้อมูลและสินทรัพย์ และนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนกับบริษัทเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลการใช้จ่ายของประชาชนไม่เพียงแต่จะถูกควบคุมโดยบริษัท แต่ยังสามารถกลายเป็นสินทรัพย์ที่ประชาชนสามารถเรียกร้องรางวัลตามที่ต้องการ ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างๆ ก็สามารถใช้แผนการแลกเปลี่ยนต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับประชาชน และสร้างกลุ่มผู้บริโภคสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ในขั้นตอนถัดไป GreenHope เชื่อว่าควรจะลดช่องว่างระหว่างประชาชนและบริษัทเกี่ยวกับการบริโภคสีเขียวหรือพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์มากขึ้น และส่งเสริมให้ทั้งประชาชนและบริษัทมีความกระตือรือร้นในการให้และใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

GreenHope กระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากกรณีศึกษาข้างต้น เราจะเห็นว่าเมื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงทั่วโลก การทำให้มันไม่เพียงแค่เป้าหมายที่รัฐบาลหรือบริษัทต้องพยายามทำให้สำเร็จ แต่ยังต้องดึงดูดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้เป็นสิ่งสำคัญ

กรณีศึกษาที่ได้แชร์มาทั้งหมด ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทำให้แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิ์คาร์บอนเป็นที่รู้จักในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรางวัลจากการดำเนินการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และใช้รางวัลเหล่านั้นในการแลกเปลี่ยนบริการหรือชดเชยต้นทุนการบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในอนาคต เมื่อเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ก้าวหน้าและแพร่หลายมากขึ้น ปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของประชาชนจะสามารถคำนวณได้เร็วขึ้น และการซื้อขายสิทธิ์คาร์บอนส่วนบุคคลก็อาจจะพัฒนาและเกิดขึ้นได้จริง

แต่ก่อนที่การซื้อขายสิทธิ์คาร์บอนส่วนบุคคลจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง เราจำเป็นต้องเริ่มการสนทนากับสังคมอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนสามารถแปลงแนวคิดเรื่องความยั่งยืนออกมาเป็นการกระทำจริง และใช้งานสิทธิ์คาร์บอนที่ได้รับอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทั้งรัฐบาล บริษัท และประชาชน ทั้งนี้ จากการศึกษาของเด็กๆ ในโรงเรียน ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ ที่เริ่มจากการศึกษาการปล่อยคาร์บอนที่เกิดจากการเหลืออาหาร

รัฐบาลเกาหลีใต้ใช้เครื่องมือ AI ในการวัดน้ำหนักของเศษอาหารที่เหลือจากเด็กๆ ในโรงเรียน 5 แห่ง และแปลงเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเศษอาหารและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิธีการลดขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น วิธีการลดการปล่อยคาร์บอนที่หลากหลายวิธี การผสมผสานระหว่างการสนับสนุนและรางวัล รวมถึงไปถึงการตลาดผ่านแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ จะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชน และเสริมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนและพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

หวังว่าเราจะสามารถแนะนำประชาชนให้ใช้สิทธิ์คาร์บอนส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลลัพธ์การลดการปล่อยคาร์บอนที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลกให้สำเร็จ