เยือนเมืองมิยางิ ประเทศญี่ปุ่น ค้นหาเสน่ห์ของการประมงอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาเมือง
:::

เยือนเมืองมิยางิ ประเทศญี่ปุ่น ค้นหาเสน่ห์ของการประมงอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาเมือง

CHEN,CHIA-WEN(China Productivity Center Agricultural Innovation Department II)

เมืองมิยางิ (Miyagi) ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ถือเป็นศูนย์กลางการประมงที่สำคัญ โดยมีแนวชายฝั่งลักษณะเว้าลึกติดกับบริเวณซันริคุโอคิ (Sanriku-oki) หนึ่งในสามแหล่งประมงที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นจุดบรรจบของกระแสน้ำอุ่น (Kuroshio) และกระแสน้ำเย็น (Oyashio) ทำให้พื้นที่นี้มีความอุดมสมบูรณ์สูงและเป็นแหล่งประมงที่หลากหลาย ทั้งในด้านชนิดและปริมาณสัตว์น้ำ ปลาโอ ปลาทูน่า ปลากระโทง และปลาซัมมะ ล้วนติดอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่นในด้านปริมาณการจับ ส่วนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมุ่งเน้นการเลี้ยงในทะเลชายฝั่ง โดยเฉพาะปลาแซลมอนสายพันธุ์ซิลเวอร์ซึ่งเมืองมิยางิผลิตมากที่สุดกว่าร้อยละ 90 ของยอดผลิตในประเทศ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงหอยนางรม เพรียงหัวหอม สาหร่ายทะเล และหอยเชลล์ ที่มีผลผลิตอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศเช่นกัน

เคเซ็นนุมะ (Kesennuma) และอิชิโนะมากิ (Ishinomaki) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมประมงยาวนาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองมิยางิ พื้นที่เหล่านี้ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 โดยโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย และภาคธุรกิจก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงมีการดำเนินการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมประมงได้รับการกำหนดให้เป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟู ไม่เพียงแต่มีการบูรณะท่าเรือประมง ตลาดปลา และศูนย์วิจัยต่าง ๆ แต่ยังมีการส่งเสริมการตลาดผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐบาลท้องถิ่น ภาคธุรกิจ องค์กรประชาชน และชาวประมงอย่างจริงจัง

ในแต่ละปีเมืองมิยางิ จะมีการจัดเทศกาลปลาและกิจกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลจับปลา นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้พบกับมาสคอตประจำเมืองที่เกี่ยวข้องกับการประมง และผลิตภัณฑ์จากทะเลที่จัดแสดงอย่างเด่นชัดตลอดการเดินทาง ซึ่งไม่เพียงสร้างความประทับใจและภาพจำที่ชัดเจน แต่ยังถ่ายทอดวัฒนธรรมของช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมในพื้นที่อย่างแท้จริง

การส่งเสริมการศึกษาด้านการบริโภคปลาให้หยั่งรากลึกตั้งแต่ระดับเยาวชน

เราได้เดินทางไปเยี่ยมชมกิจกรรมของ “สมาคมส่งเสริมปลาทะเลเมืองเคเซ็นนุมะในอาหารกลางวันโรงเรียน (Association to Promote the Kesennuma Fish Products in School Lunches)” ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยบริษัท Usufuku Honten จุดมุ่งหมายของสมาคมคือการผลักดันให้การเรียนรู้เรื่องปลาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ในท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมเชิงประสบการณ์และการบรรจุปลาในมื้อกลางวันของโรงเรียน เพื่อให้ปลากลายเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในชีวิตจริง

กิจกรรมในครั้งนี้เริ่มจากคุณโอโนเดระ (Mr. Onodera) อดีตชาวประมง ซึ่งปัจจุบันยังประกอบอาชีพประมงชายฝั่งและเลี้ยงสาหร่ายทะเล ได้มาเล่าให้ฟังถึงวิธีการจับปลาด้วยหอกแทง (Ipponzuri – การใช้หอกแทงปลาขนาดใหญ่) ซึ่งเป็นเทคนิคการประมงแบบดั้งเดิม การสอนครั้งนี้ใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งโปสเตอร์ขนาดเท่าของจริงของปลากระโทง หอกแทงยาวหลายเมตร หัวปลาพร้อมส่วนที่เป็นหนามแหลม และวิดีโอขั้นตอนการจับปลา นอกจากนี้ยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเศษปลาที่เหลือใช้ เช่น กางเกงยีนส์ที่ตัดเย็บจากวัสดุที่ได้จากหนามของปลา สร้างความประหลาดใจและความสนใจให้กับทุกคน

คุณโอโนเดระยังให้พวกเราได้ลองยกหอกแทงปลาด้วยตนเอง เพื่อให้สัมผัสถึงน้ำหนักของมัน และอธิบายว่าการจะยืนบนหัวเรือ รอให้ปลาโผล่ขึ้นมา แล้วใช้หอกแทงอย่างแม่นยำนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก วิธีนี้แม้จะได้ปลาน้อยและมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ไม่สร้างปัญหาการจับปลาเกินความจำเป็น ในญี่ปุ่นมีชาวประมงบางส่วนยังคงใช้วิธีนี้ เช่นเดียวกับบางพื้นที่ในภาคตะวันออกและใต้ของไต้หวันที่กำลังค่อย ๆ เลือนหายไป

เมื่อถูกถามว่าทำไมยังคงยึดติดกับการใช้วิธีหอกแทงปลานี้อยู่ เขาตอบว่า “ปลากระโทงในทะเลคือชีวิตหนึ่ง คนแทงปลาก็เป็นชีวิตหนึ่ง มันคือการเผชิญหน้าของสองชีวิตแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ไม่ว่าจะผลลัพธ์ออกมาอย่างไร จิตวิญญาณแบบนี้มันน่าดึงดูดมาก” คำตอบนี้ชวนให้รู้สึกน่าประทับใจ และทำให้เราเคารพในจิตวิญญาณของชาวประมงมากยิ่งขึ้น

คุณวาตานาเบะ (Mr. Watanabe) ผู้เป็นวิทยากรด้านการศึกษาการบริโภคปลา ได้สาธิตวิธีสอนในห้องเรียน โดยใช้แท็บเล็ตให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้เข้าใจถึงเส้นทางของปลา ตั้งแต่แรกจนถึงโต๊ะอาหาร พร้อมทำความรู้จักกับทุกอาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น ชาวประมง ผู้ประมูล ผู้แปรรูป ผู้ขนส่ง นักโภชนาการ และพ่อครัว เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงคุณค่าของอาหารและรู้จักเคารพบทบาทของทุกคนในอุตสาหกรรมการประมง นอกจากนี้ เด็ก ๆ ยังสามารถนำไปเล่าต่อ กลายเป็นผู้เผยแพร่องค์ความรู้ด้านการบริโภคปลาต่อไป

ภายในกิจกรรมยังมีการทดลองง่าย ๆ โดยใช้ขวดแก้วสองใบที่ใส่น้ำมันปลากับน้ำมันวัว แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็น เพื่อให้เห็นความแตกต่างเวลาน้ำมันเจอกับความเย็น เป็นการทดลองที่เข้าใจง่ายและเหมาะกับเด็กเล็ก ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าการกินปลามีผลดีต่อสุขภาพอย่างไร

สมาคมนี้ก่อตั้งโดยบริษัท Usufuku Honten ซึ่งเป็นบริษัทประมงปลาทูน่าระดับอุตสาหกรรมแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน MSC (Marine Stewardship Council) ด้านความยั่งยืน คุณโซทาโร อุซุอิ (Mr. Sotaro Usui) ประธานบริษัทรุ่นที่สาม ได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยก่อตั้งบริษัท จนถึงแรงบันดาลใจหลังจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ทำให้เขาตระหนักว่า “อาหาร” คือปัจจัยพื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิต และ “อาหารทะเล” คือทรัพยากรสำคัญของเมืองเคเซ็นนุมะ (Kesennuma) ดังนั้นเพื่อให้อุตสาหกรรมประมงยังคงอยู่ได้ เขาจึงเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทของตนเอง และใช้สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมอุตสาหกรรมประมงแบบดั้งเดิม

มาตรการที่ดำเนินการ เช่น ติดตั้งอินเทอร์เน็ตบนเรือประมงเพื่อให้แรงงานต่างชาติสามารถติดต่อกับครอบครัวได้, ร่วมมือกับนักปรุงกลิ่นชื่อดังเพื่อพัฒนาน้ำหอมที่ใช้ดับกลิ่นบนเรือ, สร้างห้องพักผ่อนและพื้นที่บันเทิงให้กับลูกเรือ เป็นต้น

ในอีกด้านหนึ่ง ยังได้เชิญชวนผู้ที่มีใจรักและองค์กรท้องถิ่นมาร่วมกันจัดตั้งสมาคม และร่วมกันดำเนินกิจกรรมการศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคปลา เช่น เชิญชาวประมงมาเล่าเรื่องในโรงเรียน, พัฒนาเมนูอาหารกลางวันจากผลิตภัณฑ์ทางทะเลที่หลากหลาย เช่น แฮมเบอร์เกอร์ปลากระโทง, พาเด็ก ๆ ไปเยี่ยมชมเรือประมง, เชิญเข้าร่วมพิธีปล่อยเรือออกจากอู่, หรือจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนออนไลน์ระหว่างเด็กในท้องถิ่นกับลูกของแรงงานต่างชาติ เพื่อให้เข้าใจว่าคุณพ่อทำงานอะไรอยู่

คุณอุซุอิยังได้นำการ์ดและภาพวาดที่เด็ก ๆ เขียนมาให้ชม เด็กบางคนตั้งใจว่าจะโตขึ้นมาเป็นชาวประมง บางคนถึงกับร้องไห้ในวันที่ส่งเรือออกทะเล ความรู้สึกเหล่านี้จะกลายเป็น ความทรงจำที่ สำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของอุตสาหกรรมประมงในท้องถิ่นต่อไป

กิจกรรมในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราเข้าใจอุตสาหกรรมท้องถิ่นมากขึ้น แต่ยังได้เรียนรู้การออกแบบกิจกรรมการศึกษาเกี่ยวกับปลาที่หลากหลาย ช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไต้หวันและญี่ปุ่น และยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามขององค์กรในพื้นที่ ที่ใช้การผลิตและบริโภคในท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูวัฒนธรรมการบริโภคปลาและส่งเสริมอุตสาหกรรมประมงของเมืองเคเซ็นนุมะอีกด้วย

สร้างนวัตกรรม พลิกโฉมอุตสาหกรรมประมงแบบ 3K เดิม (Kitsui ความลำบาก, Kitanai ความสกปรก และ Kiken อันตราย)

ที่เมืองมิยางิ มีองค์กรฟื้นฟูท้องถิ่นอีกแห่งชื่อว่า Fisherman Japan ซึ่งมีฐานอยู่ที่อิชิโนะมากิ (Ishinomaki) ก่อตั้งในปี 2557 โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากหน่วยงานที่บริษัท YAHOO ของญี่ปุ่นจัดตั้งขึ้นในพื้นที่อิชิโนะมากิหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ 311 ต่อมาจึงกลายเป็น Fisherman Japan โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมงในท้องถิ่น จุดมุ่งหมายขององค์กรคือการสร้าง "3K ใหม่ = เท่ (Kakkoyoku), ทำกำไรได้ (Kasegete), มีนวัตกรรมใหม่ (Kakushinteki) ให้แก่วงการประมง ใช้แนวคิดสร้างสรรค์และการทำการตลาดให้เห็นเสน่ห์ของงานประมง

รองหัวหน้าฝ่าย Mr. Matsumoto ได้แบ่งปันว่า อุตสาหกรรมประมงในพื้นที่ Sanriku เผชิญกับ 3 ปัญหาหลัก ได้แก่:

  • ปริมาณปลาที่จับได้ในตลาดลดลง
  • จำนวนประชากรลดลง ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงาน
  • อัตราการบริโภคปลาของผู้คนลดลง

ก่อนเกิดแผ่นดินไหว เคยมีการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรและสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ เพื่อหวังจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ในทางปฏิบัติ เนื่องจากปลาที่จับได้และแรงงานมีจำนวนน้อยลง ทำให้เครื่องจักรถูกใช้งานไม่เต็มที่ บางแห่งขาดทุนหรือถึงขั้นต้องหยุดดำเนินกิจการ ดังนั้น หากไม่อยากกลับไปสู่ความล้มเหลวเดิม ก็ไม่ควรเน้นแค่การลงทุนในอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว

ห่วงโซ่อุตสาหกรรมประมงเริ่มตั้งแต่ทะเล ผู้ผลิต เทคโนโลยีและอุปกรณ์ ชุมชนท้องถิ่น (รวมถึงสมาคมประมง ตลาด พ่อค้าส่ง) ไปจนถึงผู้บริโภค หากต้องการการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทุกภาคส่วนจะต้องได้รับประโยชน์ร่วมกัน

Fisherman Japan ได้นำเสนอแนวคิด S&D&GX โดย
SX คือ Sustainable Transformation (การเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน)
DX คือ Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล)
GX คือ Green Transformation (การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม)

ผู้ประกอบการในวงการประมงต้องสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โดยให้ความสำคัญกับ 3P (Profit, Planet, People) คือ ผลกำไร สิ่งแวดล้อม และผู้คน เพื่อให้ผู้ผลิต อุตสาหกรรม และมหาสมุทรสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการนำข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ พลังงานสีเขียว และการเปลี่ยนแปลงองค์กร วิธีดำเนินงาน และวัฒนธรรมองค์กรด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นและทัศนคติที่เปิดกว้าง เพื่อสร้างความได้เปรียบในยุคปัจจุบัน

จากแนวคิดดังกล่าว จึงเกิดโครงการ Lighthouse ที่นำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในประมง แทนการออกเรือแบบเสี่ยงดวงแบบเดิมๆ รวมถึงจัดเวิร์กช็อปสอนหลักสูตร MBA เพื่อให้ชาวประมง ผู้ผลิต และบริษัทในท้องถิ่นมีแนวคิดในการบริหารจัดการ อีกทั้งยังเปิดรับคนที่มีความสามารถจากทั่วญี่ปุ่น เช่น วิศวกร ทนายความ นักบัญชี ฯลฯ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวงการประมง โดยอาจทำเป็นงานหลักหรือรอง และใช้วิธีแลกเปลี่ยนทักษะแทนการจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงิน เช่น มอบผลิตภัณฑ์ประมงที่ชาวประมงภูมิใจแทนเงินเดือน

ในช่วงแรกที่ก่อตั้ง องค์กรยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เริ่มมีชื่อเสียงจากโฆษณาเรื่อง Fisherman Call ที่นำเสนอการปลุกตอนเช้า (early-morning wake-up calls) โดยชาวประมงที่โทรออกจากเรือในช่วงเช้า ถือเป็นวิธีการประชาสัมพันธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เมื่อโฆษณานั้นได้รับรางวัลมากมาย ความรู้จักของ Fisherman Japan เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเริ่มต้นโครงการ TRITON PROJECT ที่เน้นการส่งเสริมพัฒนาและสร้างสรรค์ “ชาวประมงรุ่นใหม่” โดยร่วมมือกับลูกหลานชาวประมงและโรงงานแปรรูปเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และสร้างช่องทางขาย

พวกเขายังได้จัดทำแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ ทำหน้าที่คล้าย สำนักงานแรงงาน ในวงการประมง รวบรวมตำแหน่งงานในท้องถิ่นและเผยแพร่ทางเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเรียนรู้ทักษะในสายงานนี้หรืออยากเป็นชาวประมงสามารถสมัครเข้าร่วมได้

“โรงเรียนชาวประมง”(Fisherman School) กิจกรรมที่จัดเป็นประจำ เช่น พาออกเรือทดลองจับปลาด้วยอวนแบบดั้งเดิม หรือจัดโปรแกรมฝึกงานนักศึกษาร่วมกับภาคธุรกิจ ถึงแม้ว่าการฝึกงานจะไม่มีค่าตอบแทน แต่ในแต่ละปีก็ยังมีนักศึกษาหลายร้อยคนจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วม เช่นเดียวกับคุณ Watanabe ที่ร่วมงานในวันนี้ ก็เริ่มจากฝึกงานแล้วตัดสินใจทำงานต่อที่นี่เลย

เว็บไซต์ของ Fisherman Japan ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิด 3K โดยใช้ภาพถ่ายและเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความเท่ของงานประมง ดึงดูดผู้อ่าน นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เสื้อผ้าและชุดกันฝนดีไซน์ทันสมัย ซึ่งช่วยดึงดูดสายตาคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ พวกเขายังเปิดร้านอาหารทะเลชื่อ Fisherman-Arbor ภายในสนามบินเซนได (Sendai Airport) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางของเมืองมิยางิ โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการเสิร์ฟข้าวหน้าซีฟู้ด เพื่อให้ผู้คนได้ลิ้มรสความสดใหม่จากแหล่งผลิตโดยตรง

ด้วยการทำลายกรอบแนวคิดแบบเดิม Fisherman Japan ได้ขยายภาพลักษณ์ของ “ชาวประมง” ให้กลายเป็นอาชีพที่มีทักษะหลากหลายและทันสมัย เป็นตัวอย่างของการนำนวัตกรรมเข้ามาปรับเปลี่ยนวงการประมงในพื้นที่ Sanriku อย่างแท้จริง

ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน มุ่งสู่การทำประมงอย่างยั่งยืน

จากรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (the Food and Agriculture Organization : FAO) ระบุว่า คนทั่วโลกบริโภคปลาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 อยู่ที่ 20.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และคาดว่าในอีกสิบปีข้างหน้ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสินค้าประมงมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการจัดหาอาหารและการได้รับสารอาหารของประชากรทั่วโลก

ภายใต้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลภาวะทางสิ่งแวดล้อม และการเสื่อมถอยของทรัพยากรธรรมชาติ อุตสาหกรรมประมงทั่วโลกจึงมุ่งเน้นเป้าหมายสำคัญคือความยั่งยืนของทรัพยากรและการเป็นมิตรกับระบบนิเวศ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง โดยในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อที่สหประชาชาติประกาศในปี 2558 นั้น เป้าหมายข้อที่ 2 กล่าวถึงการพัฒนาระบบผลิตอาหารอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อที่ 14 ระบุให้มุ่งเน้นการอนุรักษ์และใช้ระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน รวมถึงลดขยะและสารพิษปนเปื้อนในทะเล

ในระดับนานาชาติได้มีการพัฒนาเครื่องหมายรับรองด้านการทำประมงอย่างยั่งยืนหลายรูปแบบ ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ระบบนิเวศแล้ว ยังรวมถึงการคุ้มครองสิทธิแรงงานในภาคประมง การบริหารจัดการที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีเครื่องหมายรับรองมากกว่า 100 ชนิดทั่วโลก ที่ได้รับความนิยม อาทิ MSC (Marine Stewardship Council), ASC (Aquaculture Stewardship Council), BAP (Best Aquaculture Practices) และ Global G.A.P (Good Agricultural Practices) โดยต่างเน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความรับผิดชอบทั้งต่อสังคมและเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

ในยุคโลกาภิวัตน์ที่การค้าเสรีและเทคโนโลยีการประมงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมประมงแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัว จากระบบที่เน้นการใช้แรงงานเข้าสู่ระบบที่เน้นเทคโนโลยี และต่อยอดสู่ระบบอัจฉริยะ

การประมงของไต้หวันส่วนใหญ่เป็นตลาดในประเทศ โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแรงงานมีอายุมากขึ้นและขาดแคลนคนรุ่นใหม่สานต่อ ผนวกกับปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศและโรคระบาด แต่ยังต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้า และการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนช่องทางการจำหน่ายและลักษณะของตลาดผู้บริโภค

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ผู้ประกอบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้เริ่มปรับปรุงการบริหารจัดการและนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการควบคุมความเสี่ยงและปรับตัว อีกทั้งยังเริ่มส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับการบริโภคปลาให้กับประชาชน เพื่อให้เข้าใจและหันมาสนับสนุนสินค้าประมงในประเทศ ตั้งเป้าให้เกิดวัฒนธรรมการบริโภคที่ยั่งยืนและเสริมสร้างตลาดในประเทศให้เข้มแข็ง

อุตสาหกรรมประมงของญี่ปุ่นมีรูปแบบใกล้เคียงกับของไต้หวัน และได้มีการดำเนินนโยบายสนับสนุนคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพการเกษตร การส่งเสริมอุตสาหกรรมแบบครบวงจร การศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคปลา และการฟื้นฟูหมู่บ้านชาวประมงมาเป็นเวลาหลายปี จึงมีองค์ความรู้และกรณีศึกษาที่น่าสนใจครอบคลุมตั้งแต่ต้น เช่น การจับปลาและการเพาะเลี้ยง การแปรรูปผลิตภัณฑ์ประมง ไปจนถึงการตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย และการสร้างวัฒนธรรมการบริโภค การศึกษาแนวทางการเชื่อมโยงและการพัฒนาอุตสาหกรรมประมงของญี่ปุ่น จึงอาจจุดประกายให้ชาวประมงไต้หวันเกิดแนวคิดใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ขยายตลาด และช่วยให้สามารถนำความคิดสร้างสรรค์และแนวทางใหม่ ๆ มาปรับใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของการประมงไต้หวันและชาวประมงรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพในอนาคต