หลักการและบทบาทของก๊าซเรือนกระจก – กรณีศึกษาในภาคเกษตรกรรม
:::

หลักการและบทบาทของก๊าซเรือนกระจก – กรณีศึกษาในภาคเกษตรกรรม

Yun-Shan Huang(China Productivity Center Agricultural Innovation Department I)

หลังจากที่ภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมของมนุษย์บนโลกก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่ระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงกลายเป็นปัญหาร่วมกันของคนทั้งโลก
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ถ่านหินถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานหลัก ต่อมาจึงมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แก๊สธรรมชาติ พลังงานนิวเคลียร์ และพลังงานไฮโดรเจนตามลำดับ แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โลกต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูงจากถ่านหิน น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ ดังนั้นหลายประเทศจึงเริ่มพัฒนาและหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การใช้พลังงานแบบดั้งเดิมทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นทุกปี จนกระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ที่เริ่มมีการใช้พลังงานทางเลือกใหม่ ๆ จึงทำให้อัตราการเพิ่มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเริ่มชะลอลง

หากเปรียบเทียบตามประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี แคนาดา และรัสเซีย เป็นกลุ่มที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาก็มีแนวโน้มการปล่อยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.11 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะส่งผลให้โลกเผชิญกับภัยธรรมชาติที่รุนแรงและคาดเดาไม่ได้ เช่น ฝนตกหนักผิดปกติ และสภาพอากาศสุดขั้ว ดังนั้นการดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นสิ่งที่ต้องรีบดำเนินการโดยไม่สามารถรอได้

องค์กรหรือกิจการในภาคเกษตรกรรมส่วนใหญ่มักจัดอยู่ในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แม้จะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากเท่ากับภาคอุตสาหกรรม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามกระทรวงสิ่งแวดล้อม (The Ministry of Environment) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงิน (The Financial supervisory Commission) ได้กำหนดให้องค์กรธุรกิจและบริษัทจดทะเบียนต้องดำเนินการตรวจสอบ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง หรือรวมทั้งทางตรงและทางอ้อมแล้วเกิน 25,000 ตันต่อปี จะต้องเป็นกลุ่มแรกที่ดำเนินการตรวจสอบนี้ เพื่อนำผลลัพธ์มาใช้เป็นพื้นฐานในการวางแผนลดการปล่อยก๊าซต่อไป

สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องดำเนินการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แล้วเสร็จภายใน 2 ระยะ โดยกำหนดให้แล้วเสร็จไม่เกินปี 2572 ดังนั้นในการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของหน่วยงานด้านเกษตร แม้ว่าจะมีลักษณะเฉพาะตามแต่ละประเภทของการเกษตร
แต่หลักการตรวจสอบและบทบาทของแต่ละฝ่ายจะยังคงเหมือนเดิม จำเป็นต้องมีการกำหนดขอบเขตหน้าที่ให้ชัดเจนระหว่างทีมตรวจสอบกับหน่วยงานที่ถูกตรวจ เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจทำให้ผลการตรวจสอบคลาดเคลื่อน

ในการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคเกษตร จะต้องยึดตามมาตรฐาน ISO14064-1:2018 ซึ่งกำหนดให้กระบวนการตรวจสอบต้องเป็นไปตามหลัก MRV กล่าวคือ สามารถวัดผลได้ (Measurable), สามารถตรวจสอบได้ (Verifiable) และ สามารถรายงานได้ (Reportable) นอกจากนี้กระบวนการตรวจสอบจะต้องมีความเป็นกลาง และตรวจสอบรายการต่าง ๆ อย่างละเอียดและถูกต้อง

ดังนั้น ทีมตรวจสอบทั้งหมดจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในด้าน ความเกี่ยวข้อง (Relevance), ความครบถ้วน (Completeness), ความสม่ำเสมอ (Consistency), ความโปร่งใส (Transparency) และ ความแม่นยำ (Accuracy) เพื่อให้ผลการตรวจสอบสามารถบรรลุมาตรฐานระดับ "ความมั่นใจสมเหตุสมผล" และได้รับการยอมรับ จากหลักการทั้ง 5 ข้อข้างต้น ผู้เขียนซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในหน่วยงานเกษตรมาเป็นเวลาหลายปี ได้นำมาร่วมวิเคราะห์กับบทบาทของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบในปัจจุบัน และมีข้อคิดเห็นดังต่อไปนี้:

  1. ความเกี่ยวข้อง (Relevance)
    ในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจก ความเกี่ยวข้องถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบ หน่วยงานด้านการเกษตรที่เป็นผู้ถูกตรวจสอบ รวมถึงที่ปรึกษา/ผู้ให้คำแนะนำ ควรหารือร่วมกันตั้งแต่แรกว่า ข้อมูลใดที่เกี่ยวข้องและควรอยู่ภายในขอบเขตของการตรวจสอบ จะต้องพิจารณาว่า แหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก หรือแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล และควรกำหนดให้ชัดเจนว่าอะไรที่ไม่เกี่ยวข้อง และสามารถตัดออกจากกระบวนการตรวจสอบได้ รายการที่ต้องตรวจสอบทั้งหมดควรถูกร่างขึ้นอย่างละเอียด เพื่อให้การตรวจสอบสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง เช่น การพบว่าแหล่งข้อมูลบางอย่างควรถูกรวมไว้ภายหลัง ซึ่งต้องแก้ไขและยืดเวลาการทำงานออกไป
  2. ความครบถ้วน (Completeness)
    ในด้านของความครบถ้วน ทีมผู้ตรวจสอบให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ก่อนเริ่มตรวจสอบ จะมีการตรวจสอบรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่หน่วยงานเกษตรกรรมนำเสนอ ว่ามีการรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซทุกประเภท ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงข้อมูลการดูดซับก๊าซเรือนกระจกไว้ครบถ้วนหรือไม่ ในระหว่างการตรวจสอบ ทีมงานจะตรวจสอบซ้ำ ๆ ว่า กระบวนการผลิตทุกส่วน และแหล่งปล่อยก๊าซต่าง ๆ ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างครบถ้วนในรายงานหรือไม่ ดังนั้นในประเด็นนี้ ทีมตรวจสอบจะให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
  3. ความสม่ำเสมอ (Consistency)
    สำหรับหลักการเรื่องความสม่ำเสมอ ทีมตรวจสอบจะเน้นว่า ข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกจะต้องสามารถนำมาเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญได้ โดยเฉพาะในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบ จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ข้อมูลก่อนหน้าและหลังจากการวิเคราะห์มีความสอดคล้องกัน หากไม่สอดคล้องกันระหว่างขั้นตอนเปรียบเทียบหรือการคำนวณ จะต้องติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
  4. ความโปร่งใส (Transparency)
    ด้านของความโปร่งใส ทีมตรวจสอบจะใช้จุดประสงค์ของการตรวจสอบที่หน่วยงานเกษตรให้มาเป็นแนวทาง แล้วทำการตรวจสอบแต่ละส่วนของรายงานว่า ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกไว้อย่างครบถ้วนและเหมาะสมหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้ต้องสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ใช้ข้อมูลได้ เพื่อให้ผลการตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้ได้จริง
  5. ความแม่นยำ (Accuracy)
    ด้านของความแม่นยำ ทีมตรวจสอบจะพยายามลดความคลาดเคลื่อนและความไม่แน่นอนให้น้อยที่สุดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลกิจกรรม (Activity Data) ปัจจัยการปล่อย (Emission Factor) และค่าในการก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก (Global Warming Potential: GWP) จะต้องถูกตรวจสอบอย่างรอบคอบหลายครั้ง โดยเฉพาะหัวหน้าทีมตรวจสอบจะต้องมีความละเอียดรอบคอบมากเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อผลรวมของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา และความถูกต้องของรายงาน

แม้หลักการทั้งห้านี้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่ทุกข้อก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานเกษตรที่จัดทำรายงานด้วยตนเอง หรือทีมตรวจสอบที่เข้าดำเนินการตรวจสอบ ทุกฝ่ายจำเป็นต้องยึดหลักทั้งห้าข้อนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้รายงานก๊าซเรือนกระจกที่จัดทำขึ้น มีความถูกต้องแม่นยำสูงสุด และสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ